สงคราม สื่อสารด่วน! ผู้นำที่ดี ต้องพูดให้ถึงใจ
9 บทเรียนการสื่อสารในทีม จากซีรีส์
“สงครามส่งด่วน”
การสื่อสารระหว่างหัวหน้าและลูกน้อง ที่ช่วยสร้างทีมแข็งแกร่งและธุรกิจเติบโต
1. เห็นปัญหาและศักยภาพจริงของทีม สื่อสารด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่แค่สั่ง
ตัวอย่าง: ในวันที่ทีมเครียดกับยอดขาย สันติเลือกที่จะ “ฟัง” ก่อน “สั่ง”เขาเปิดประชุมโดยขอไอเดียจากทีม ปลุกใจให้ทุกคนรู้สึกว่าความคิดเห็นของตัวเค้าเองสำคัญ
แต่ในขณะเดียวกัน เคน หัวหน้าที่มองแค่ตัวเลข เลือกประชุมด้วยการตำหนิ ไม่ฟังทีม ไม่เปิดโอกาส
บทเรียน: ผู้นำที่ดี “ไม่ใช่แค่พูดเก่งหรือสั่งเก่ง” แต่ต้องกล้าฟัง กล้าเข้าใจ และสื่อสารบนพื้นฐานของศักยภาพและปัญหาที่แท้จริง เมื่อทีมรู้สึกว่ามีคุณค่าและปลอดภัย พวกเขาจะกล้าสร้างสรรค์และพร้อมเดินไปกับผู้นำเสมอ
2. สร้างความร่วมมือ ด้วยการสื่อสารที่ชัดเจนและเปิดใจ
ตัวอย่าง: สันติได้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจแต่ตัวเขาเองกลับไม่มีต้นทุนอะไรเลย เมื่อคณิน นักธุรกิจรายใหญ่ ยื่นมือมาช่วยนั่นจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาในตอนนั้นและทั้งคณินกับสันติก็ต้องพึ่งพาระบบของ Easy China ด้วย เพราะพวกเขามีความรู้ตลาดในไทย แต่ไม่มีความรู้และเทคโนโลยีเกี่ยวกับธุรกิจขนส่งเลย สันติจึงต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้เกิดการร่วมทุนกันขึ้น
บทเรียน: การสื่อสารแบบเปิดใจและโปร่งใสช่วยสร้างความไว้วางใจและประสานงานระหว่างทีมที่ต่างฝ่ายต่างมีความเชี่ยวชาญ
3. ข้อตกลงทางธุรกิจ ต้องร่างเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมสื่อสารชัดเจนทุกฝ่าย
ตัวอย่าง: สันติถูกคณินหักหลังจากที่ไม่มีการร่างข้อตกลงอย่างชัดเจน ทำให้เสียหุ้นและตำแหน่ง CEO
บทเรียน: หัวหน้าต้องสื่อสารและทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อปกป้องสิทธิ์และสร้างความชัดเจนในทีม
4. ทุ่มเทเต็มที่ แต่ต้องสื่อสารและวางแผนสำรองเสมอ
ตัวอย่าง: สันติทุ่มสุดตัวในทุกเรื่อง แต่ขาดการสื่อสารเพื่อวางแผนสำรอง ไม่ว่าจะตอน ขอสิทธิ์ขายคอนโด, ร่วมทุนกับคณิน
บทเรียน: ผู้นำต้องสื่อสารให้ทีมเห็นภาพรวม พร้อมมีแผนสำรองและเปิดรับความคิดเห็นอย่างรอบคอบ
5. กำหนดบทบาท หน้าที่ และอำนาจในทีมให้ชัดเจน
ตัวอย่าง: ผู้ก่อตั้งต้องกำหนดสัดส่วนหุ้นและบทบาท เพื่อป้องกันความขัดแย้ง
บทเรียน: หัวหน้าต้องสื่อสารบทบาทและขอบเขตงานให้ลูกน้องเข้าใจชัดเจน เพื่อความเป็นระเบียบและประสิทธิภาพ
6. ใช้ “Empathy” สื่อสารอย่างเข้าใจและเห็นใจ
ตัวอย่าง: สันติช่วยเหลือลีนุกซ์พนักงานทีมเทคที่ต้องลาไปดูแลแม่ป่วย และแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างจริงใจ
บทเรียน: ผู้นำต้องสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจปัญหาลูกน้องและช่วยเหลืออย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
7. เข้าใจความต้องการลูกค้าอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างจุดขายที่แตกต่าง
ตัวอย่าง: Easy Express ส่งพัสดุในราคา 25 บาท นับเป็นจุดขายในเรื่องราคา และเสี่ยวหยูกับสันติก็เข้าใจว่า จะลดราคาลงไปไม่ได้อีกแล้ว ทั้งคู่เลยต้องมาหาจุดยืนของธุรกิจอีกครั้ง
บทเรียน: ผู้นำควรสื่อสารกับทีมเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าแท้จริง
8. เชื่อมั่นในตัวเอง แต่ต้องเปิดรับฟังเสียงจากทีมและผู้เชี่ยวชาญ
ตัวอย่าง: สันติลดราคาพัสดุเหลือ 19 บาทโดยไม่ฟังคำเตือนจากเสี่ยวหยู จนเกือบทำให้บริษัทล้ม
บทเรียน: ผู้นำควรเปิดรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างจากทีมเพื่อป้องกันความเสี่ยงและตัดสินใจได้รอบด้าน
9. สื่อสารเรื่องกลยุทธ์อย่างรอบคอบ หลีกเลี่ยงสงครามราคาที่ทำลายธุรกิจ
ตัวอย่าง: คณินเตือนสันติว่า การลดราคาจนเกินไปเป็นกับดัก แต่ตัวสันติเองก็ยังคงเดินหน้าต่อ
บทเรียน: หัวหน้าต้องสื่อสารกับทีมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างชัดเจนถึงผลกระทบของกลยุทธ์ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจภาพรวม
ซีรีส์ “สงครามส่งด่วน” สอนให้เราเห็นว่า การสื่อสารที่ดีระหว่างหัวหน้าและลูกน้อง ไม่ใช่แค่พูดบอกงาน แต่คือการเข้าใจปัญหา วางแผนร่วมกัน สร้างความไว้วางใจ และปรับตัวตามสถานการณ์อย่างมีทิศทาง นี่คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ทีมแข็งแกร่งและธุรกิจประสบความสำเร็จ